ระบบไฟฟ้าแสงสว่างคือสิ่งจำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวันในทุกช่วงเวลา อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับมนุษย์ การเลือกหลอดประหยัดไฟที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับการใช้งาน จะช่วยลดการสูญเสียพลังงานมหาศาล และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวได้
Winner Light ขอแนะนำวิธีการเลือกหลอดไฟประหยัดพลังงาน สำหรับใช้งานในวัตถุประสงค์ต่าง ๆ โดยพิจารณาจากปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้นวัตกรรมแสงสว่างที่ตอบโจทย์ความต้องการมากที่สุด
ทำความรู้จักหลอดไฟประหยัดพลังงาน คืออะไร?
หลอดไฟประหยัดพลังงาน คือหลอดไฟที่สามารถให้แสงสว่างได้ดี แต่ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยกว่าหลอดไฟแบบดั้งเดิม ซึ่งจะช่วยลดค่าไฟฟ้าและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการผลิตพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น การเลือกใช้หลอดไฟประหยัดพลังงานจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว เพราะเราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหลอดไฟบ่อยครั้ง อีกทั้งยังลดการใช้พลังงานได้เป็นอย่างดี
ประเภทของหลอดไฟประหยัดพลังงาน
หากถามว่า หลอดไฟแบบไหนประหยัดไฟที่สุดนั้น ต้องขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งานที่ต้องการ โดยปัจจุบันมีประเภทหลอดไฟให้เลือกใช้งาน ดังนี้
หลอด LED (Light Emitting Diode)
หลอดไฟ LED เป็นหลอดประหยัดไฟที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากมีต้นทุนต่ำ ใช้พลังงานน้อยกว่าหลอดไส้ถึง 80-90% แต่สามารถให้แสงสว่างได้ดีเยี่ยม อีกทั้งยังไม่มีส่วนประกอบของสารปรอทที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม และมีอายุใช้งานเฉลี่ยสูงถึง 25,000 – 50,000 ชั่วโมง ทำให้ประหยัดค่าบำรุงรักษาในระยะยาวได้เป็นอย่างดี
หลอดตะเกียบ (Fluorescent)
หลอดตะเกียบ หรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ เป็นหลอดไฟประหยัดไฟในยุคแรก ๆ ที่นำมาใช้ทดแทนหลอดไส้ เนื่องจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ใช้พลังงานน้อยกว่าในการให้ความสว่างเท่ากัน อีกทั้งยังมีอายุใช้งานยาวนานกว่า (7,000 – 15,000 ชั่วโมง) แต่มีข้อจำกัดคือต้องใช้บัลลาสต์และสตาร์ตเตอร์ในการติดตั้ง ทำให้ต้องใช้เวลาในการเปิดใช้งาน รวมถึงในหลอดยังมีสารปรอทที่เป็นอันตราย
หลอดไส้ (Incandescent)
หลอดไส้ เป็นหลอดไฟประเภทแรกที่ถูกผลิตขึ้นในโลก โดยอาศัยความร้อนทำให้ไส้หลอดทังสเตนเปล่งแสง มีข้อจำกัดคือให้แสงสว่างได้น้อยมากเมื่อเทียบกับหลอดไฟประเภทอื่น ๆ อีกทั้งยังมีอายุการใช้งานที่สั้นมาก โดยเฉลี่ยประมาณ 750 – 1,500 ชั่วโมง จึงทำให้ได้รับความนิยมน้อยลงในปัจจุบัน
หลอดไฟฮาโลเจน (Halogen)
หลอดไฟฮาโลเจน ถูกพัฒนาต่อจากหลอดไส้โดยเพิ่มสารประเภทฮาโลเจนที่ช่วยให้หลอดทนความร้อนได้ดีขึ้น ทำให้เปล่งแสงได้ดีกว่าหลอดไส้ทั่วไป อีกทั้งยังช่วยยืดอายุการใช้งานที่ 2,000 – 4,000 ชั่วโมง ซึ่งยาวนานกว่าหลอดไส้ประมาณ 2-4 เท่า ให้แสงที่สว่างกว่าและมีความคมชัดสูงกว่าหลอดไส้ ทำให้เหมาะสำหรับการเน้นแสงเฉพาะจุด หรือในบริเวณที่ต้องการความสว่างเป็นพิเศษ
ตารางเปรียบเทียบความสว่างของหลอดไฟ
เมื่อนำหลอดไฟทั้ง 4 ประเภท ได้แก่ หลอดไส้ หลอดฮาโลเจน หลอดฟลูออเรสเซนต์ และหลอด LED มาเปรียบเทียบประสิทธิภาพว่าหลอดไฟแบบไหนประหยัดไฟที่สุด จะได้ข้อสรุปดังนี้
ประเภทหลอดไฟ | หลักการทำงาน | อายุการใช้งาน (ชั่วโมง) | ความสว่าง (ลูเมน) ต่อวัตต์โดยประมาณ |
หลอดไส้ (Incandescent) | ให้ความร้อนแก่ไส้หลอดทังสเตนจนเปล่งแสง | 750 – 1,000 ชม. | 10 – 15 lm/W |
หลอดฮาโลเจน (Halogen) | ใช้ไส้หลอดทังสเตนในก๊าซฮาโลเจน ช่วยนำโมเลกุลทังสเตนกลับมาที่ไส้หลอด | 2,000 – 4,000 ชม. | 15 – 25 lm/W |
หลอดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent) | ปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านไอปรอทในหลอดแก้ว ทำให้สารเคลือบฟลูออเรสเซนต์เปล่งแสง | 7,000 – 15,000 ชม. | 35 – 100 lm/W |
หลอด LED (Light Emitting Diode) | ปล่อยแสงเมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านสารกึ่งตัวนำ | 15,000 – 50,000 ชม. | 80 – 120+ lm/W |
วิธีเลือกซื้อหลอดไฟประหยัดพลังงาน
การเลือกซื้อหลอดไฟประหยัดไฟให้ได้ประสิทธิภาพ ควรพิจารณาจากปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ค่าพลังงาน (Watt)
ควรเลือกหลอดไฟที่มีค่าวัตต์ต่ำ แต่ให้แสงสว่างที่เพียงพอต่อการใช้งาน เพื่อช่วยลดการสิ้นเปลืองพลังงาน ซึ่งหลอดไฟ LED ในปัจจุบันตอบโจทย์มาตรการประหยัดพลังงานได้เป็นอย่างดี เพราะใช้พลังงานไฟฟ้าน้อย และปล่อยความร้อนน้อยกว่าหลอดไฟประเภทอื่น ๆ
2. ค่าความสว่าง (Lumen)
ค่าความสว่างหรือค่าลูเมน (Lumen, lm) ของหลอดไฟ ยิ่งมีค่าสูงเท่าไหร่ หลอดไฟก็ยิ่งให้ความสว่างโดยรวมมากเท่านั้น ดังนั้น การเลือกหลอดประหยัดไฟเพื่อใช้งานในพื้นที่ต่าง ๆ ควรนำค่าลูเมนมาคำนวณหาค่าลักซ์ (Lux) หรือความสว่างที่ตกกระทบต่อพื้นที่ให้เหมาะสมกับกิจกรรมที่จะทำในบริเวณนั้น และเลือกหลอดไฟที่มีความสว่างเพียงพอ โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งในแต่ละจุดมากเกินไป เพื่อการประหยัดพลังงานและการใช้งานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
3. ค่าประสิทธิภาพ (Efficacy)
ค่าประสิทธิภาพ (Luminous Efficacy) ของหลอดไฟ เป็นค่าที่บ่งชี้ว่าหลอดไฟนั้นสว่างแค่ไหนเมื่อเทียบกับพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ไป มีหน่วยเป็น ลูเมนต่อวัตต์ (lm/w)
ยกตัวอย่างเช่น หลอดไฟ A ให้ความสว่าง 500 ลูเมน และใช้กำลังไฟ 20 วัตต์ จะมีค่าประสิทธิภาพที่ 25 lm/w ส่วนหลอดไฟ B ให้ความสว่าง 500 ลูเมน และใช้กำลังไฟ 10 วัตต์เท่ากัน จะมีค่าประสิทธิภาพที่ 50 lm/w จะเห็นว่า หลอดไฟ B ประหยัดไฟฟ้ากว่าหลอดไฟ A ในการให้ความสว่างเท่ากัน
4. ค่าอุณหภูมิสี (Kelvin)
ค่าอุณหภูมิสี เป็นค่าที่ใช้ระบุโทนสีของแสงที่เปล่งออกมาจากแหล่งกำเนิดแสง มีหน่วยเป็น เคลวิน (K) หากอุณหภูมิสีต่ำ จะเป็นแสงโทนเหลืองอมส้ม ส่วนอุณหภูมิสีสูง แสงที่ได้จะออกโทนขาวหรืออมฟ้ามากขึ้น โดยอุณหภูมิสีสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ คือ
- Daylight: แสงเดย์ไลท์ (Daylight) เป็นอุณหภูมิสีของแสงที่เลียนแบบแสงธรรมชาติในเวลากลางวัน มักจะมีค่าอุณหภูมิสีประมาณ 5,000K – 6,500K ให้แสงสว่างจ้า ช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจน และช่วยเพิ่มความรู้สึกตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า เหมาะสำหรับใช้ในห้องทำงาน ห้องสมุด หรือพื้นที่ที่ต้องการความแม่นยำของสีสูง
- Cool White: แสงคูลไวท์ (Cool White) เป็นแสงที่อุณหภูมิเฉลี่ย 4,000K – 5,000K ให้โทนสีขาวนวล ไม่อมสีใดสีหนึ่งจนเกินไป ทำให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจน เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการสมาธิในการทำงาน เช่น ห้องทำงาน ห้องเรียน ห้องน้ำ ที่ต้องการความสะอาดตา
- Warm White: แสงวอร์มไวท์ (Warm White) มีอุณหภูมิประมาณ 2,000K ถึง 3,000K ให้โทนแสงสีเหลืองอมส้ม คล้ายกับแสงจากหลอดไส้ ให้ความรู้สึกอบอุ่น สบายตา เหมาะกับการสร้างบรรยากาศภายในห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือใช้ตกแต่งภายในคาเฟ่ แต่มีข้อจำกัดคืออาจทำให้การมองเห็นรายละเอียดสีบางสีไม่ชัดเจนเท่าแสงประเภทอื่น
5. ค่าความถูกต้องของสี (Color Rendering Index – CRI)
CRI ย่อมาจาก Color Rendering Index (ดัชนีความถูกต้องของสี) เป็นค่าที่ใช้วัดว่าแสงจากหลอดไฟนั้นแสดงสีสันได้ถูกต้องและเป็นธรรมชาติเพียงใด เมื่อเทียบกับแสงอ้างอิงอย่างแสงอาทิตย์ ซึ่งถือเป็นแหล่งกำเนิดแสงที่ให้ค่า CRI เต็ม 100 โดยค่า CRI ที่นิยมใช้งานทั่วไปจะต้องไม่ต่ำกว่า 70 เพื่อให้สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยน
6. ขั้วหลอดไฟ
ขั้วหลอดไฟ เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องเลือกให้ถูกต้อง เพราะหากเลือกผิดประเภทจนไม่สามารถติดตั้งได้ อาจทำให้เสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น โดยปัจจุบันขั้วหลอดไฟที่พบได้ทั่วไปมีอยู่ 2 แบบหลัก ๆ ได้แก่
- ขั้วเกลียว: ใช้ตัวอักษร E นำหน้า ตามด้วยตัวเลขที่ระบุเส้นผ่านศูนย์กลางของขั้วเกลียว (หน่วยเป็นมิลลิเมตร) เช่น E27, E14
- ขั้วเขี้ยวหรือขาเสียบ: ใช้ตัวอักษร G นำหน้า ตามด้วยตัวเลขที่ระบุระยะห่างระหว่างขาทั้งสองขา หรือคุณสมบัติเฉพาะของขั้ว เช่น G13, GU10
ตัวอย่างการเลือกใช้หลอดไฟตามห้องต่าง ๆ
การเลือกหลอดไฟสำหรับใช้งานภายในสถานที่ต่าง ๆ นั้น จำเป็นต้องเข้าใจวัตถุประสงค์รวมถึงความต้องการที่แตกต่างกัน โดยสำหรับพื้นที่แต่ละห้องภายในบ้าน ควรเลือกหลอดไฟจากเกณฑ์ต่อไปนี้
ห้องนอน
ห้องนอนเป็นพื้นที่สำหรับการพักผ่อน จึงควรเลือกบรรยากาศที่อบอุ่นและผ่อนคลาย ไม่ควรใช้หลอดไฟที่สว่างเกินไป โดยแนะนำให้มีความสว่างประมาณ 50–150 ลักซ์ และหลีกเลี่ยงโทนแสงที่สว่างจ้า เช่น แสงเดย์ไลท์ เพราะอาจรบกวนการนอนหลับ
นอกจากนี้ อาจเลือกใช้หลอดประหยัดไฟอย่าง หลอด LED ที่สามารถใช้งานร่วมกับ Dimmer Switch เพื่อปรับระดับความสว่างตามต้องการ ซึ่งช่วยทั้งเรื่องการประหยัดพลังงาน ยืดอายุการใช้งานของหลอดไฟ และยังปล่อยความร้อนน้อย จึงไม่ทำให้อากาศในห้องร้อนอบอ้าว
ห้องทำงาน
การเลือกหลอดไฟสำหรับห้องทำงาน ควรเลือกไฟที่มีความสว่างเพียงพอ โดยแนะนำให้มีค่าความสว่างตั้งแต่ 300-500 ลักซ์ขึ้นไป และใช้โทนแสงแบบเดย์ไลท์ เพราะการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ต้องใช้สายตาอย่างต่อเนื่อง หากเลือกแสงที่มืดหรือหม่นเกินไป อาจทำให้ต้องเพ่งสายตามากขึ้นจนเกิดอาการล้า
นอกจากนี้ แสงโทนวอร์มไวท์ ซึ่งให้ความรู้สึกผ่อนคลาย อาจไม่เหมาะกับห้องทำงาน เพราะอาจทำให้รู้สึกง่วงและลดประสิทธิภาพในการทำงานได้
ห้องนั่งเล่น
ห้องนั่งเล่นเป็นอีกหนึ่งพื้นที่พักผ่อนของสมาชิกในครอบครัว และมีขนาดค่อนข้างใหญ่ จึงควรเลือกหลอดไฟที่ให้ความสว่างเพียงพอ โดยแนะนำให้อยู่ที่ประมาณ 100–250 ลักซ์ พร้อมเลือกใช้โคมไฟที่กระจายแสงได้กว้างอย่างเหมาะสม
สามารถเลือกใช้งานหลอดไฟได้ทุกอุณหภูมิสี ขึ้นอยู่กับบรรยากาศที่ต้องการ หากอยากให้ห้องดูปลอดโปร่ง แนะนำให้ใช้แสงเดย์ไลท์หรือคูลไวท์ แต่ถ้าชอบบรรยากาศอบอุ่น ผ่อนคลาย ควรเลือกแสงวอร์มไวท์ นอกจากนี้ อีกทางเลือกคือการติดตั้งหลอดไฟ LED อัจฉริยะ ที่สามารถปรับโทนสีได้ตามต้องการ
ดังนั้น การเลือกหลอดไฟประหยัดพลังงานสำหรับการใช้งานในวัตถุประสงค์ต่าง ๆ นั้น นอกจากจะเลือกจากค่าความสว่าง อัตราการใช้พลังงาน หรือลักษณะด้านแสงสว่างอื่น ๆ แล้ว ยังควรเลือกหลอดไฟที่ผลิตจากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้มั่นใจว่าหลอดไฟที่ได้จะมีประสิทธิภาพสูง มีอายุใช้งานยาวนาน และลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ซึ่งหลอดไฟ LED กลายเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ให้ความสนใจมากขึ้น เนื่องจากให้แสงคุณภาพดี ใช้พลังงานน้อยกว่า และไม่มีส่วนประกอบของสารปรอทที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม
Winner Light ในฐานะผู้ผลิตและจัดจำหน่าย พร้อมบริการติดตั้งเสาไฟถนน โคมไฟถนน และเสาไฟถนนโซลาร์เซลล์ ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามายาวนานกว่า 15 ปี เราตระหนักถึงความสำคัญของมาตรการประหยัดพลังงาน พร้อมเป็นอีกหนึ่งพลังสนับสนุนให้หน่วยงาน หรือองค์กรต่าง ๆ บรรลุเป้าหมายด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยสินค้าระดับคุณภาพ พร้อมบริการติดตั้งที่ได้มาตรฐาน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านแสงสว่างควบคู่ไปกับการลดต้นทุนพลังงานอย่างยั่งยืน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
เบอร์โทรศัพท์ : 02-415-7576-7, 081-880-6616
Facebook: www.facebook.com/bangbonstation