สถานการณ์พลังงานของโลกรวมถึงประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทาย โดยข้อมูลจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.) กระทรวงพลังงาน พบว่า ในปี 2566 ประเทศไทยมีการใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 เมื่อเทียบกับปีก่อน
การใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นนี้ ส่งผลโดยตรงต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้น การตระหนักถึงความสำคัญและลงมือทำตามมาตรการประหยัดพลังงาน จึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างความมั่นคงทางพลังงาน นำไปสู่โลกที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน
ทำไมภาครัฐต้องมีมาตรการประหยัดพลังงาน?
รัฐบาลมีมาตรการประหยัดพลังงาน ด้วยเหตุผลหลักหลายประการ โดยมีจุดเริ่มต้นจากความตระหนักถึงความสำคัญของพลังงานต่อการพัฒนาประเทศและความมั่นคงในระยะยาว
ความมั่นคงทางพลังงาน
วิกฤตการณ์น้ำมันในช่วงทศวรรษ 1970 ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้หลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ตระหนักถึงความเปราะบางของการพึ่งพาแหล่งพลังงานจากต่างประเทศและการผันผวนของราคาพลังงาน รัฐบาลจึงเริ่มมองหาแนวทางในการลดการใช้พลังงานควบคู่ไปกับการพัฒนาแหล่งพลังงานในประเทศ มาตรการประหยัดพลังงานนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพช่วยลดต้นทุนการผลิตในภาคอุตสาหกรรม ลดค่าใช้จ่ายของประชาชน และลดการไหลออกของเงินตราต่างประเทศในการนำเข้าพลังงาน
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
การผลิตและใช้พลังงาน โดยเฉพาะจากเชื้อเพลิงฟอสซิล (ถ่านหิน, น้ำมันดิบ, ก๊าซธรรมชาติ) ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ และการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การออกมาตรการประหยัดพลังงาน จึงเป็นกลยุทธ์ในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงองค์ประกอบสำคัญในการพัฒนาที่ยั่งยืน
กฎหมายและนโยบาย
ประเทศไทยได้มีการประกาศใช้ “พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535” ในการกำหนดมาตรการและส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐในการผลักดันเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง
ด้วยสาเหตุเหล่านี้ ผลักดันให้รัฐต้องมีนโยบายและมาตรการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าในทุกภาคส่วน รวมถึงภาคเอกชนด้วยเช่นกัน
มาตรการประหยัดพลังงานในหน่วยงาน หรือองค์กร
การดำเนินมาตรการประหยัดพลังงานอย่างจริงจังในหน่วยงาน ไม่เพียงแต่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน แต่ยังมีส่วนช่วยสร้างภาพลักษณ์ขององค์กรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมความยั่งยืนในระยะยาว โดยอาจเริ่มจากอุปกรณ์หรือระบบในสำนักงานที่มักมีการใช้พลังงานสูง เช่น
ระบบปรับอากาศ

เนื่องจากระบบปรับอากาศในอาคาร ต้องทำงานเกือบตลอดวันเพื่อรักษาอุณหภูมิ จึงเป็นสาเหตุให้ระบบนี้กินไฟมากที่สุดในอาคาร ซึ่งมาตรการประหยัดพลังงานไฟฟ้าของระบบปรับอากาศ สามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น
1. ตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสม อยู่ในช่วง 25-27 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นช่วงที่สบายและประหยัดพลังงานมากที่สุด
2. ใช้ระบบควบคุมอุณหภูมิแบบแบ่งโซน ปรับอุณหภูมิเฉพาะพื้นที่ที่มีคนใช้งาน
3. ตั้งเวลาเปิด-ปิดเครื่องปรับอากาศ โดยใช้ระบบ Smart Thermostat ควบคุมจากระยะไกล โดยอาจตั้งเวลาให้เครื่องปรับอากาศเริ่มทำงานก่อนเวลาทำการ 15-30 นาที และปิดทันทีหลังเลิกงาน หรือช่วงพักกลางวัน
4. ติดตั้งเครื่องปรับอากาศประหยัดพลังงาน โดยเลือกเครื่องที่มีค่า SEER (Seasonal Energy Efficiency Ratio) ค่าที่ใช้วัดประสิทธิภาพการประหยัดพลังงาน ยิ่งเลขสูงยิ่งประหยัดไฟได้มากขึ้น
5. ทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศอย่างสม่ำเสมอ หากปล่อยให้แผ่นกรองอุดตัน จะทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักขึ้นเพื่อดูดอากาศ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำความเย็นลดลงและกินไฟมากขึ้น
ระบบแสงสว่าง

การเปิดไฟทิ้งไว้เมื่อไม่ใช้งาน และการใช้หลอดไฟแบบเดิม อย่างหลอดไส้หรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ ทำให้กินไฟมากกว่าแบบ LED ซึ่งเป็นหลอดไฟประหยัดพลังงาน ที่มีเทคโนโลยีการประหยัดไฟดีที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งองค์กรต่าง ๆ สามารถใช้มาตรการประหยัดพลังงานของระบบนี้ ได้โดยการ
6. ใช้หลอดไฟ LED ซึ่งมีประสิทธิภาพในการให้แสงสว่างสูงกว่าถึง 80-90% และอายุการใช้งานยาวนานกว่าถึง 50,000 ชั่วโมง
7. ติดตั้ง Motion Sensor ตรวจจับความเคลื่อนไหว ให้ไฟเปิดเฉพาะเมื่อมีคนอยู่ในบริเวณนั้น
8. ใช้ Dimmer Switch ปรับความสว่างให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้งาน
9. ใช้แสงธรรมชาติให้มากที่สุด ด้วยการออกแบบอาคารให้มีช่องแสงธรรมชาติ และใช้สีอ่อนภายในเพื่อสะท้อนแสง
10. รณรงค์ปิดไฟเมื่อไม่ใช้งาน สร้างจิตสำนึกให้พนักงานปิดไฟทุกครั้งเมื่อไม่มีการใช้งาน อย่างตอนพักกลางวันเป็นต้น
อุปกรณ์ภายในสำนักงาน

ใช้มาตรการประหยัดไฟฟ้ากับอุปกรณ์ เช่น คอมพิวเตอร์, จอภาพ, เครื่องพิมพ์ ด้วยการ
11. ปิดคอมพิวเตอร์ จอภาพ และเครื่องพิมพ์ เมื่อเลิกใช้งาน
12. ตั้งค่าโหมดพักหน้าจอ (Sleep Mode/Hibernate) เพื่อกำหนดเวลาพักหน้าจอ เมื่อไม่มีการใช้งาน
13. ถอดปลั๊กอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็น เพราะอุปกรณ์บางชนิดทำให้เกิด Phantom Load หรือการกินไฟแบบเงียบ ๆ แม้จะอยู่ในโหมดปิดหรือสแตนด์บาย ซึ่งคิดเป็น 5–10% ของบิลค่าไฟ เช่น คอมพิวเตอร์, เครื่องพิมพ์, ไมโครเวฟ, กาต้มน้ำไฟฟ้า เป็นต้น
14. ปิดตู้เย็นให้สนิท ตรวจสอบขอบยางประตู และไม่เปิดทิ้งไว้นาน
15. ตั้งอุณหภูมิตู้เย็นที่เหมาะสม ไม่เย็นจนเกินความจำเป็น
ลิฟต์และบันไดเลื่อน

การใช้งานบ่อยครั้ง โดยเฉพาะช่วงเวลาเร่งด่วนที่ต้องทำงานต่อเนื่อง ทำให้มอเตอร์และระบบควบคุมใช้ไฟสูง ซึ่งองค์กรอาจใช้มาตรการประหยัดไฟฟ้าด้วยวิธี
16. รณรงค์การใช้บันได แทนการใช้ลิฟต์ สำหรับการขึ้นลงชั้นใกล้ ๆ
17. ติดตั้งบันไดเลื่อนแบบปรับความเร็วอัตโนมัติ ให้บันไดเลื่อนลดความเร็ว หรือหยุดเอง เหมือนโหมด “สแตนด์บาย” เมื่อไม่มีคนใช้งาน
18. ปิดลิฟต์/บันไดเลื่อนบางตัวในช่วงคนน้อย
19. ติดตั้งลิฟต์ที่มีระบบการคำนวณอัจฉริยะ เช่น เมื่อมีคนกดปุ่มเรียกหลายชั้นอย่าง 8, 15 และ 20 ระบบจะคำนวณเส้นทางที่ดีที่สุด โดยการจัดให้ใช้ลิฟต์โดยสารตัวเดียวกัน แทนที่จะส่งลิฟต์แยกไป 3 ชั้น
20. เปลี่ยนมอเตอร์ของระบบลิฟต์ และบันไดเลื่อนให้เป็นแบบประหยัดพลังงาน ซึ่งออกแบบมาให้สูญเสียพลังงานน้อยกว่ามอเตอร์แบบเก่า
การนำมาตรการประหยัดพลังงานเหล่านี้ ไปใช้ในหน่วยงาน นอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังเป็นส่วนสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งความสำเร็จนี้ต้องอาศัยการร่วมมือกันของทุกภาคส่วน
Winner Light ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมแสงสว่างของประเทศไทย ขอเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน พร้อมสนับสนุนองค์กรคุณด้วยโซลูชันแสงสว่างอัจฉริยะที่ออกแบบมาเพื่อการลดการใช้พลังงานได้อย่างแท้จริง
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
เบอร์โทรศัพท์ : 02-415-7576-7, 081-880-6616
Facebook: www.facebook.com/bangbonstation
Line: @winnerlight