หลอดประหยัดไฟ ไม่ได้เป็นเพียงอุปกรณ์ให้แสงสว่าง แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยลดการใช้พลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังเป็นเทรนด์สำคัญระดับโลกที่ได้รับการผลักดันจากหลายรัฐบาลและหน่วยงานนานาชาติอย่างจริงจัง
ทั่วโลกกำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อยกเลิกแหล่งกำเนิดแสงที่ไม่มีประสิทธิภาพ โดยมีกฎระเบียบและมาตรฐานที่ชัดเจน โดยจากรายงานของ สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency – IEA) ระบุว่า หลายประเทศกำลังผลักดันการใช้หลอดประหยัดพลังงานอย่างจริงจัง เช่น ในสหภาพยุโรปที่มีการปรับปรุงข้อกำหนดเพื่อยกเลิกการใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์เกือบทั้งหมดตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นไป หรือในทวีปแอฟริกาที่มี 16 ประเทศในกลุ่ม SADC (Southern African Development Community) และ 6 ประเทศในกลุ่ม EAC (East African Community) ที่ร่วมกันกำหนดมาตรฐานใหม่เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่การใช้หลอด LED ทั้งหมดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า รวมถึงประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายแห่งที่กำลังริเริ่มมาตรการที่คล้ายคลึงกัน
Winner Light จึงขอแนะนำวิธีการเลือกหลอดไฟประหยัดพลังงาน สำหรับใช้งานในวัตถุประสงค์ต่าง ๆ โดยพิจารณาจากปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้นวัตกรรมแสงสว่างที่ตอบโจทย์ความต้องการมากที่สุด
ทำความรู้จักหลอดประหยัดไฟ หรือ หลอดไฟประหยัดพลังงาน คืออะไร?
หลอดประหยัดไฟ คือ หลอดไฟที่สามารถให้แสงสว่างได้ดี แต่ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยกว่าหลอดไฟแบบดั้งเดิม ซึ่งจะช่วยลดค่าไฟฟ้าและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการผลิตพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น การเลือกใช้หลอดไฟประหยัดพลังงานจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว เพราะเราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหลอดไฟบ่อยครั้ง อีกทั้งยังลดการใช้พลังงานได้เป็นอย่างดี
ประเภทของหลอดประหยัดไฟ
หากถามว่า หลอดไฟแบบไหนประหยัดไฟที่สุดนั้น ต้องขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งานที่ต้องการ โดยปัจจุบันมีประเภทหลอดไฟให้เลือกใช้งาน ดังนี้
- 
- 
หลอดประหยัดไฟ LED (Light Emitting Diode)
 
- 
หลอดไฟ LED เป็นหลอดประหยัดไฟที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากมีต้นทุนต่ำ ใช้พลังงานน้อยกว่าหลอดไส้ถึง 80-90% แต่สามารถให้แสงสว่างได้ดีเยี่ยม อีกทั้งยังไม่มีส่วนประกอบของสารปรอทที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม และมีอายุใช้งานเฉลี่ยสูงถึง 25,000 – 50,000 ชั่วโมง ทำให้ประหยัดค่าบำรุงรักษาในระยะยาวได้เป็นอย่างดี
- 
- 
หลอดตะเกียบ (Fluorescent)
 
- 
หลอดตะเกียบ หรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ เป็นหลอดไฟประหยัดไฟในยุคแรก ๆ ที่นำมาใช้ทดแทนหลอดไส้ เนื่องจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ใช้พลังงานน้อยกว่าในการให้ความสว่างเท่ากัน อีกทั้งยังมีอายุใช้งานยาวนานกว่า (7,000 – 15,000 ชั่วโมง) แต่มีข้อจำกัดคือต้องใช้บัลลาสต์และสตาร์ตเตอร์ในการติดตั้ง ทำให้ต้องใช้เวลาในการเปิดใช้งาน รวมถึงในหลอดยังมีสารปรอทที่เป็นอันตราย
- 
- 
หลอดไส้ (Incandescent)
 
- 
หลอดไส้ เป็นหลอดไฟประเภทแรกที่ถูกผลิตขึ้นในโลก โดยอาศัยความร้อนทำให้ไส้หลอดทังสเตนเปล่งแสง มีข้อจำกัดคือให้แสงสว่างได้น้อยมากเมื่อเทียบกับหลอดไฟประเภทอื่น ๆ อีกทั้งยังมีอายุการใช้งานที่สั้นมาก โดยเฉลี่ยประมาณ 750 – 1,500 ชั่วโมง จึงทำให้ได้รับความนิยมน้อยลงในปัจจุบัน
- 
- 
หลอดไฟฮาโลเจน (Halogen)
 
- 
หลอดไฟฮาโลเจน ถูกพัฒนาต่อจากหลอดไส้โดยเพิ่มสารประเภทฮาโลเจนที่ช่วยให้หลอดทนความร้อนได้ดีขึ้น ทำให้เปล่งแสงได้ดีกว่าหลอดไส้ทั่วไป อีกทั้งยังช่วยยืดอายุการใช้งานที่ 2,000 – 4,000 ชั่วโมง ซึ่งยาวนานกว่าหลอดไส้ประมาณ 2-4 เท่า ให้แสงที่สว่างกว่าและมีความคมชัดสูงกว่าหลอดไส้ ทำให้เหมาะสำหรับการเน้นแสงเฉพาะจุด หรือในบริเวณที่ต้องการความสว่างเป็นพิเศษ
ตารางเปรียบเทียบความสว่างของหลอดประหยัดไฟแต่ละประเภท
เมื่อนำหลอดไฟทั้ง 4 ประเภท ได้แก่ หลอดไส้ หลอดฮาโลเจน หลอดฟลูออเรสเซนต์ และหลอด LED มาเปรียบเทียบประสิทธิภาพว่าหลอดไฟแบบไหนประหยัดไฟที่สุด จะได้ข้อสรุปดังนี้
| ประเภทหลอดไฟ | หลักการทำงาน | อายุการใช้งาน (ชั่วโมง) | ความสว่าง (ลูเมน) ต่อวัตต์โดยประมาณ | 
| หลอดไส้ (Incandescent) | ให้ความร้อนแก่ไส้หลอดทังสเตนจนเปล่งแสง | 750 – 1,000 ชม. | 10 – 15 lm/W | 
| หลอดฮาโลเจน (Halogen) | ใช้ไส้หลอดทังสเตนในก๊าซฮาโลเจน ช่วยนำโมเลกุลทังสเตนกลับมาที่ไส้หลอด | 2,000 – 4,000 ชม. | 15 – 25 lm/W | 
| หลอดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent) | ปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านไอปรอทในหลอดแก้ว ทำให้สารเคลือบฟลูออเรสเซนต์เปล่งแสง | 7,000 – 15,000 ชม. | 35 – 100 lm/W | 
| หลอด LED (Light Emitting Diode) | ปล่อยแสงเมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านสารกึ่งตัวนำ | 15,000 – 50,000 ชม. | 80 – 120+ lm/W | 
วิธีเลือกซื้อหลอดไฟประหยัดพลังงาน
การเลือกซื้อหลอดไฟประหยัดไฟให้ได้ประสิทธิภาพ ควรพิจารณาจากปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ค่าพลังงาน (Watt)
ควรเลือกหลอดไฟที่มีค่าวัตต์ต่ำ แต่ให้แสงสว่างที่เพียงพอต่อการใช้งาน เพื่อช่วยลดการสิ้นเปลืองพลังงาน ซึ่งหลอดไฟ LED ในปัจจุบันตอบโจทย์มาตรการประหยัดพลังงานได้เป็นอย่างดี เพราะใช้พลังงานไฟฟ้าน้อย และปล่อยความร้อนน้อยกว่าหลอดไฟประเภทอื่น ๆ
2. ค่าความสว่าง (Lumen)
ค่าความสว่างหรือค่าลูเมน (Lumen, lm) ของหลอดไฟ ยิ่งมีค่าสูงเท่าไหร่ หลอดไฟก็ยิ่งให้ความสว่างโดยรวมมากเท่านั้น ดังนั้น การเลือกหลอดประหยัดไฟเพื่อใช้งานในพื้นที่ต่าง ๆ ควรนำค่าลูเมนมาคำนวณหาค่าลักซ์ (Lux) หรือความสว่างที่ตกกระทบต่อพื้นที่ให้เหมาะสมกับกิจกรรมที่จะทำในบริเวณนั้น และเลือกหลอดไฟที่มีความสว่างเพียงพอ โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งในแต่ละจุดมากเกินไป เพื่อการประหยัดพลังงานและการใช้งานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
3. ค่าประสิทธิภาพ (Efficacy)
ค่าประสิทธิภาพ (Luminous Efficacy) ของหลอดไฟ เป็นค่าที่บ่งชี้ว่าหลอดไฟนั้นสว่างแค่ไหนเมื่อเทียบกับพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ไป มีหน่วยเป็น ลูเมนต่อวัตต์ (lm/w)
ยกตัวอย่างเช่น หลอดไฟ A ให้ความสว่าง 500 ลูเมน และใช้กำลังไฟ 20 วัตต์ จะมีค่าประสิทธิภาพที่ 25 lm/w ส่วนหลอดไฟ B ให้ความสว่าง 500 ลูเมน และใช้กำลังไฟ 10 วัตต์เท่ากัน จะมีค่าประสิทธิภาพที่ 50 lm/w จะเห็นว่า หลอดไฟ B ประหยัดไฟฟ้ากว่าหลอดไฟ A ในการให้ความสว่างเท่ากัน
4. ค่าอุณหภูมิสี (Kelvin)
ค่าอุณหภูมิสี เป็นค่าที่ใช้ระบุโทนสีของแสงที่เปล่งออกมาจากแหล่งกำเนิดแสง มีหน่วยเป็น เคลวิน (K) หากอุณหภูมิสีต่ำ จะเป็นแสงโทนเหลืองอมส้ม ส่วนอุณหภูมิสีสูง แสงที่ได้จะออกโทนขาวหรืออมฟ้ามากขึ้น โดยอุณหภูมิสีสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ คือ
- 
- Daylight: แสงเดย์ไลท์ (Daylight) เป็นอุณหภูมิสีของแสงที่เลียนแบบแสงธรรมชาติในเวลากลางวัน มักจะมีค่าอุณหภูมิสีประมาณ 5,000K – 6,500K ให้แสงสว่างจ้า ช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจน และช่วยเพิ่มความรู้สึกตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า เหมาะสำหรับใช้ในห้องทำงาน ห้องสมุด หรือพื้นที่ที่ต้องการความแม่นยำของสีสูง
 
- 
- Cool White: แสงคูลไวท์ (Cool White) เป็นแสงที่อุณหภูมิเฉลี่ย 4,000K – 5,000K ให้โทนสีขาวนวล ไม่อมสีใดสีหนึ่งจนเกินไป ทำให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจน เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการสมาธิในการทำงาน เช่น ห้องทำงาน ห้องเรียน ห้องน้ำ ที่ต้องการความสะอาดตา
 
- 
- Warm White: แสงวอร์มไวท์ (Warm White) มีอุณหภูมิประมาณ 2,000K ถึง 3,000K ให้โทนแสงสีเหลืองอมส้ม คล้ายกับแสงจากหลอดไส้ ให้ความรู้สึกอบอุ่น สบายตา เหมาะกับการสร้างบรรยากาศภายในห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือใช้ตกแต่งภายในคาเฟ่ แต่มีข้อจำกัดคืออาจทำให้การมองเห็นรายละเอียดสีบางสีไม่ชัดเจนเท่าแสงประเภทอื่น
 
5. ค่าความถูกต้องของสี (Color Rendering Index – CRI)
ค่า CRI ย่อมาจาก Color Rendering Index (ดัชนีความถูกต้องของสี) เป็นค่าที่ใช้วัดว่าแสงจากหลอดไฟนั้นแสดงสีสันได้ถูกต้องและเป็นธรรมชาติเพียงใด เมื่อเทียบกับแสงอ้างอิงอย่างแสงอาทิตย์ ซึ่งถือเป็นแหล่งกำเนิดแสงที่ให้ค่า CRI เต็ม 100 โดยค่า CRI ที่นิยมใช้งานทั่วไปจะต้องไม่ต่ำกว่า 70 เพื่อให้สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยน
6. ขั้วหลอดไฟ
ขั้วหลอดไฟ เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องเลือกให้ถูกต้อง เพราะหากเลือกผิดประเภทจนไม่สามารถติดตั้งได้ อาจทำให้เสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น โดยปัจจุบันขั้วหลอดไฟที่พบได้ทั่วไปมีอยู่ 2 แบบหลัก ๆ ได้แก่
- 
- ขั้วเกลียว: ใช้ตัวอักษร E นำหน้า ตามด้วยตัวเลขที่ระบุเส้นผ่านศูนย์กลางของขั้วเกลียว (หน่วยเป็นมิลลิเมตร) เช่น E27, E14
 
- 
- ขั้วเขี้ยวหรือขาเสียบ: ใช้ตัวอักษร G นำหน้า ตามด้วยตัวเลขที่ระบุระยะห่างระหว่างขาทั้งสองขา หรือคุณสมบัติเฉพาะของขั้ว เช่น G13, GU10
 

ตัวอย่างการเลือกใช้หลอดประหยัดไฟตามห้องต่าง ๆ
การเลือกหลอดไฟสำหรับใช้งานภายในสถานที่ต่าง ๆ นั้น จำเป็นต้องเข้าใจวัตถุประสงค์รวมถึงความต้องการที่แตกต่างกัน โดยสำหรับพื้นที่แต่ละห้องภายในบ้าน ควรเลือกหลอดไฟจากเกณฑ์ต่อไปนี้
- 
- 
ห้องนอน
 
- 
ห้องนอนเป็นพื้นที่สำหรับการพักผ่อน จึงควรเลือกบรรยากาศที่อบอุ่นและผ่อนคลาย ไม่ควรใช้หลอดไฟที่สว่างเกินไป โดยแนะนำให้มีความสว่างประมาณ 50–150 ลักซ์ และหลีกเลี่ยงโทนแสงที่สว่างจ้า เช่น แสงเดย์ไลท์ เพราะอาจรบกวนการนอนหลับ
นอกจากนี้ อาจเลือกใช้หลอดประหยัดไฟอย่าง หลอด LED ที่สามารถใช้งานร่วมกับ Dimmer Switch เพื่อปรับระดับความสว่างตามต้องการ ซึ่งช่วยทั้งเรื่องการประหยัดพลังงาน ยืดอายุการใช้งานของหลอดไฟ และยังปล่อยความร้อนน้อย จึงไม่ทำให้อากาศในห้องร้อนอบอ้าว
- 
- 
ห้องทำงาน
 
- 
การเลือกหลอดไฟสำหรับห้องทำงาน ควรเลือกไฟที่มีความสว่างเพียงพอ โดยแนะนำให้มีค่าความสว่างตั้งแต่ 300-500 ลักซ์ขึ้นไป และใช้โทนแสงแบบเดย์ไลท์ เพราะการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ต้องใช้สายตาอย่างต่อเนื่อง หากเลือกแสงที่มืดหรือหม่นเกินไป อาจทำให้ต้องเพ่งสายตามากขึ้นจนเกิดอาการล้า
นอกจากนี้ แสงโทนวอร์มไวท์ ซึ่งให้ความรู้สึกผ่อนคลาย อาจไม่เหมาะกับห้องทำงาน เพราะอาจทำให้รู้สึกง่วงและลดประสิทธิภาพในการทำงานได้
- 
- 
ห้องนั่งเล่น
 
- 
ห้องนั่งเล่นเป็นอีกหนึ่งพื้นที่พักผ่อนของสมาชิกในครอบครัว และมีขนาดค่อนข้างใหญ่ จึงควรเลือกหลอดไฟที่ให้ความสว่างเพียงพอ โดยแนะนำให้อยู่ที่ประมาณ 100–250 ลักซ์ พร้อมเลือกใช้โคมไฟที่กระจายแสงได้กว้างอย่างเหมาะสม
สามารถเลือกใช้งานหลอดไฟได้ทุกอุณหภูมิสี ขึ้นอยู่กับบรรยากาศที่ต้องการ หากอยากให้ห้องดูปลอดโปร่ง แนะนำให้ใช้แสงเดย์ไลท์หรือคูลไวท์ แต่ถ้าชอบบรรยากาศอบอุ่น ผ่อนคลาย ควรเลือกแสงวอร์มไวท์ นอกจากนี้ อีกทางเลือกคือการติดตั้งหลอดไฟ LED อัจฉริยะ ที่สามารถปรับโทนสีได้ตามต้องการ
ดังนั้น การเลือกหลอดไฟประหยัดพลังงานสำหรับการใช้งานในวัตถุประสงค์ต่าง ๆ นั้น นอกจากจะเลือกจากค่าความสว่าง อัตราการใช้พลังงาน หรือลักษณะด้านแสงสว่างอื่น ๆ แล้ว ยังควรเลือกหลอดไฟที่ผลิตจากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้มั่นใจว่าหลอดไฟที่ได้จะมีประสิทธิภาพสูง มีอายุใช้งานยาวนาน และลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ซึ่งหลอดไฟ LED กลายเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ให้ความสนใจมากขึ้น เนื่องจากให้แสงคุณภาพดี ใช้พลังงานน้อยกว่า และไม่มีส่วนประกอบของสารปรอทที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม
Winner Light ในฐานะผู้ผลิตและจัดจำหน่าย พร้อมบริการติดตั้งเสาไฟถนน โคมไฟถนน และเสาไฟถนนโซลาร์เซลล์ ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามายาวนานกว่า 15 ปี เราตระหนักถึงความสำคัญของมาตรการประหยัดพลังงาน พร้อมเป็นอีกหนึ่งพลังสนับสนุนให้หน่วยงาน หรือองค์กรต่าง ๆ บรรลุเป้าหมายด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยสินค้าระดับคุณภาพ พร้อมบริการติดตั้งที่ได้มาตรฐาน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านแสงสว่างควบคู่ไปกับการลดต้นทุนพลังงานอย่างยั่งยืน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
เบอร์โทรศัพท์ : 02-415-7576-7, 081-880-6616
Facebook: www.facebook.com/bangbonstation
 Line ID @winnerlight
Line ID @winnerlight 02-415-7577, 063-1955641
02-415-7577, 063-1955641 Email: sale_wlc@winnerlight.co.th, sale.wlc@hotmail.com
Email: sale_wlc@winnerlight.co.th, sale.wlc@hotmail.com

 
				 
				 
				 
				 
				 
				 
				 
				 
				 
				 
				 
				 
				 
				 
				