วิธีเลือกหลอดไฟ LED ให้บ้านสว่างและคุ้มค่า

ภาพปกบทความวิธีเลือกหลอดไฟ

หลอดไฟ ถือเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลาย เพื่อวัตถุประสงค์ในการสร้างแสงสว่างและเพิ่มการมองเห็นในพื้นที่ต่าง ๆ การเลือกหลอดไฟให้เหมาะสมจึงเป็นเรื่องที่ควรใส่ใจ เพื่อให้ได้แสงสว่างที่สบายตาและเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่หลอดไฟ LED ได้รับความนิยมในการใช้งานมากขึ้น และมีหลากหลายยี่ห้อ ขนาด สี ให้เลือกใช้งาน 

บทความนี้จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับเทคนิควิธีเลือกหลอดไฟ LED แบบเจาะลึกทุกขั้นตอน ตั้งแต่ความสว่าง โทนสี ความคมชัด และอัตราการประหยัดไฟ เพื่อให้คุณได้หลอดไฟที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างลงตัว

วิธีเลือกหลอดไฟ LED เทคนิคที่ทุกคนควรรู้ 

การเลือกหลอดไฟ LED ในเบื้องต้นนั้น ผู้ใช้งานจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

1. เลือกหลอดไฟ LED วัตต์ (Watt) ต่ำ

หนึ่งในวิธีเลือกหลอดไฟ LED ให้คุ้มค่า คือการเลือกหลอดไฟที่กินไฟน้อยหรือมีค่าวัตต์ต่ำ เพื่อให้ช่วยประหยัดพลังงานมากขึ้น แต่ทั้งนี้ควรเปรียบเทียบร่วมกับค่าอื่น อย่างค่าความสว่าง เพราะในบางครั้งหลอดไฟที่วัตต์ต่ำอาจมีค่าความสว่างที่น้อยกว่า

ตัวอย่างเช่น หลอดไฟ A กินไฟ 12 วัตต์ ให้ความสว่าง 1,200 ลูเมน ส่วนหลอดไฟ B กินไฟ 14 วัตต์ ให้ความสว่าง 1,500 ลูเมน ในกรณีนี้หลอดไฟ B จะมีค่าลูเมนต่อวัตต์ที่มากกว่า ทำให้ประหยัดไฟและให้ความสว่างได้ดีกว่า

2. ยิ่งลูเมน (Lumen) สูง หลอดไฟยิ่งสว่าง

Lumen คือ ค่าที่ใช้ระบุความสว่างของหลอดไฟ ยิ่งค่าลูเมนสูง หลอดไฟก็จะสามารถให้แสงสว่างได้มากขึ้นในห้องขนาดเดียวกัน วิธีซื้อหลอดไฟให้ได้ประสิทธิภาพจึงควรพิจารณาจากค่าลูเมนเป็นหลัก

นอกจากนี้ ควรคำนวณค่าลักซ์ (Lux) ซึ่งจะช่วยให้เรากำหนดจำนวนของหลอดไฟที่เหมาะสมกับห้องหรือพื้นที่ใช้งานได้อย่างแม่นยำและได้แสงสว่างที่พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป

3. เลือกหลอดไฟ LED อุณหภูมิสีที่เหมาะกับการใช้งาน

Color Temperature หรืออุณหภูมิสีที่เหมาะสมจะช่วยสร้างบรรยากาศที่ดี รวมถึงส่งผลต่อประสิทธิภาพการมองเห็น วิธีเลือกซื้อหลอดไฟ LED ให้เหมาะกับการใช้งานจึงควรให้ความสำคัญกับเรื่องของโทนสีเป็นพิเศษ

ตัวอย่างเช่น ในห้องนอน ควรหลีกเลี่ยงการใช้ไฟโทนสี Daylight ที่จะทำให้รู้สึกตื่นตัวตลอดเวลาหรือเกิดอาการนอนไม่หลับ หรือในห้องทำงานที่ควรใช่ไฟโทนสี Daylight ซึ่งช่วยให้มีสมาธิในการทำงานมากขึ้น และยังช่วยให้ทำงานได้ถูกต้องแม่นยำ เป็นต้น

4. หลอดไฟที่มีค่า CRI สูง ยิ่งแสดงสีได้ใกล้เคียงของจริง

CRI หรือ Color Rending Index เป็นค่าที่ใช้ในการวัดความถูกต้องของสี จากการส่องสว่างของหลอดไฟบนวัตถุต่าง ๆ โดยมีตัวเลขกำหนดตั้งแต่ 0-100 ซึ่งยิ่งมีค่าสูงเท่าไร ยิ่งมีความใกล้เคียงกับสีจริงตามธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น วิธีซื้อหลอดไฟให้สีเพี้ยนน้อยที่สุดจึงควรเลือกหลอดไฟที่มีค่า CRI ตั้งแต่ 80 ขึ้นไป โดยในปัจจุบันหลอด LED จะมีค่า CRI ที่ค่อนข้างสูง ทำให้ได้รับความนิยมในการใช้งานมากขึ้นเมื่อเทียบกับหลอดประเภทอื่น

5. เลือกมุมกระจายแสง (Beam Angle) ที่เหมาะสม

โดยปกติวิธีเลือกซื้อหลอดไฟ LED สำหรับใช้งานในบ้านทั่วไป ควรเลือกหลอดไฟที่มีมุมกระจายแสง (Beam Angle) ระหว่าง 60-120 องศา เนื่องจากจะให้ความสว่างกระจายทั่วบริเวณห้องได้เป็นอย่างดี หรือหากต้องการซื้อเพื่อใช้ในวัตถุประสงค์อื่น ๆ เช่น การเน้นแสงสว่างจุดใดจุดหนึ่ง อาจเลือกหลอดไฟที่มี Beam Angle แคบลงได้

6. อย่าลืมสังเกตขั้วหลอดไฟ

สิ่งสำคัญที่สุดและเป็นวิธีเลือกหลอดไฟ LED ที่หลายคนมักมองข้าม คือการตรวจสอบให้แน่ใจว่าขั้วหลอดไฟตรงกับโคมไฟที่ต้องการใช้งาน เพราะหากขั้วไม่ตรงกัน หลอดไฟจะไม่สามารถติดตั้งและใช้งานได้ โดยทั่วไปหลอดไฟ LED จะมีขั้วหลอดไฟอยู่สองประเภท ดังนี้

ขั้วหลอดไฟแบบเกลียว

เป็นขั้วหลอดไฟที่พบได้บ่อยที่สุด มีลักษณะเป็นเกลียวสำหรับหมุนเข้ากับโคมไฟ ใช้ตัวอักษร E ตามด้วยตัวเลขในการระบุ ซึ่งหมายถึงขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของเกลียว มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร สามารถแยกย่อยออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่

  • ขั้วหลอดไฟ E14: มีขนาดเล็ก จึงนิยมเรียกกันว่า ขั้วเล็ก พบบ่อยในหลอดไฟทรงจำปา หลอดไฟปิงปอง และหลอดไฟทรงกระบอก นิยมใช้กับโคมระย้า ไฟประดับศาลเจ้า ไฟตู้เย็น เป็นต้น
  • ขั้วหลอดไฟ E27: เป็นขั้วหลอดไฟขนาดมาตรฐานสำหรับใช้งานในบ้านหรืออาคารทั่วไป โดยมากจะพบในหลอดแบบกลมและหลอดตะเกียบ มีอีกชื่อหนึ่งคือ TC-TSE
  • ขั้วหลอดไฟ E40: มีขนาดใหญ่ ใช้สำหรับหลอดไฟที่มีกำลังวัตต์สูง เช่น หลอดแสงจันทร์ นิยมใช้กับพื้นที่สาธารณะ เช่น ห้างสรรพสินค้า สวนสาธารณะ โรงงานอุตสาหกรรม โกดังสินค้า ฯลฯ

ขั้วหลอดไฟแบบเขี้ยว

เป็นขั้วหลอดไฟที่มีลักษณะเป็นขายื่นออกมา 2 ข้างเพื่อใช้เสียบเข้ากับขั้วรับ จะใช้ตัวอักษร G หรือ GU ตามด้วยตัวเลขในการระบุ ซึ่งหมายถึงระยะห่างของขาเขี้ยวทั้งสองข้าง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร โดยประเภทที่นิยมใช้มี 3 ขนาด ได้แก่

  • ขั้วหลอดไฟ G13: เป็นขั้วหลอดไฟที่พบได้บ่อยตามบ้านเรือนและอาคารสำนักงานต่าง ๆ ในอดีตจะใช้กับหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์แบบยาวขนาด T8 หรือหลอดนีออน และปัจจุบันได้มีการพัฒนาหลอด LED T8 ที่ประหยัดพลังงานและให้ความสว่างได้ดีกว่าเพื่อใช้ทดแทน
  • ขั้วหลอดไฟ GU10: หรือที่นิยมเรียกว่า “ขั้วขาสตาร์ตเตอร์” เป็นขั้วที่นิยมใช้กับหลอดไฟฮาโลเจนทรงกลมหรือแบบพาร์ (PAR) ซึ่งหลอดไฟเหล่านี้มักถูกนำมาใช้ในโคมดาวน์ไลท์ฝังฝ้า โคมไฟติดราง หรือไฟสปอตไลต์ เพื่อให้แสงสว่างเฉพาะจุดและเน้นวัตถุหรือพื้นที่ที่ต้องการ
  • ขั้วหลอดไฟ GU5.3: เป็นขั้วหลอดไฟขนาดเล็ก มักใช้กับหลอดฮาโลเจนขนาดเล็ก หรือหลอด LED ขนาดเล็กที่ใช้สำหรับส่องสว่างในพื้นที่จำกัด เช่น ตู้โชว์สินค้า หรือไฟตกแต่ง

ถึงแม้ว่าหลอดไฟ LED จะเป็นหลอดไฟที่มีข้อดีทั้งในด้านการประหยัดพลังงานและประสิทธิภาพในการให้แสงสว่าง แต่ในปัจจุบันก็มีหลอดไฟ LED หลากหลายยี่ห้อวางจำหน่ายในท้องตลาด ซึ่งมีราคาและคุณภาพที่ต่างกันออกไป ดังนั้น อีกหนึ่งวิธีเลือกหลอดไฟ LED ให้ได้คุณภาพที่สุด คือการเลือกซื้อจากผู้ผลิตและจัดจำหน่ายที่ได้มาตรฐาน สามารถให้คำแนะนำและมีประสบการณ์ในการติดตั้งได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งภายในบ้าน ติดตั้งบนเสาไฟถนนหรือเสาไฟสนาม ติดตั้งในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น เพื่อให้คุณมั่นใจว่าจะได้สินค้าที่มีคุณภาพดี และคุ้มค่า คุ้มราคาที่สุด

Winner Light ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย พร้อมบริการติดตั้งเสาไฟถนน โคมไฟถนน เสาไฟถนนโซลาร์เซลล์ ที่ครองใจลูกค้ามาอย่างยาวนานกว่า 15 ปี ด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ ที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านแสงสว่างได้อย่างครอบคลุม

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

เบอร์โทรศัพท์ : 02-415-7576-7, 081-880-6616
Facebook: www.facebook.com/bangbonstation