การเลือกโคมไฟสนามอย่างถูกวิธีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้สนามกีฬา ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพการแข่งขัน ความปลอดภัยของผู้เล่น และประสบการณ์ที่น่าประทับใจของผู้ชม อีกทั้งยังช่วยประหยัดพลังงานและช่วยลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไฟสนามกีฬาคืออะไร
ไฟสนามกีฬา คือ ไฟที่ออกแบบมาเพื่อรองรับกิจกรรมการแข่งขันทั้งในร่มและกลางแจ้ง มีความสว่างสูง (High Lumen Output) และมุมกระจายแสงกว้าง (Wide Beam Angle) เพื่อให้แสงกระจายทั่วถึง และยังทนทานต่อทุกสภาพอากาศได้เป็นอย่างดี
คุณสมบัติเด่นของไฟสนามกีฬา
การออกแบบโคมไฟสนามกีฬาที่ดีต้องให้ความสำคัญกับความสว่างที่ สม่ำเสมอ เพียงพอ ไม่เกิดเงามืด และรองรับทั้งการเล่นกีฬา การชมการแข่งขัน และการบันทึกภาพระดับมืออาชีพ โดยคุณสมบัติเด่นของไฟสนามกีฬามีดังนี้
1. กระจายแสงสม่ำเสมอและให้กำลังส่องสว่างสูง
ไฟสนามกีฬาคุณภาพดีต้องมีค่าความสว่าง (Lumen) สูง และสามารถกระจายแสงได้ทั่วถึงทั้งสนาม ช่วยลดจุดบอด เงามืด หรือจุดแสงไม่สม่ำเสมอที่อาจส่งผลต่อการมองเห็นของผู้เล่น ผู้ตัดสิน รวมถึงผู้ชมในสนาม อีกทั้งยังรองรับการบันทึกภาพและการถ่ายทอดสดที่ต้องการความคมชัดสูง
2. มุมกระจายแสงแบบเฉพาะทาง
ไฟสนามกีฬามีมุมกระจายแสงที่กว้าง (Wide Beam Angle) มีการออกแบบเลนส์ควบคุมทิศทางแสง (Optical Control) เพื่อให้แสงกระจายไปทั่วสนาม ลดเงา และลดแสงแยงตา (Glare) เพื่อป้องกันแสงสะท้อนรบกวนทั้งผู้เล่นและผู้ชม
3. ค่าความถูกต้องของสีสูง (High CRI)
ค่าสี CRI (Color Rendering Index) คือ ดัชนีที่วัดความถูกต้องของสีที่ใกล้เคียงกับแสงธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งในสนามกีฬาควรมี ค่า CRI ≥ 80 ขึ้นไป เพื่อให้เห็นสีของวัตถุต่าง ๆ เช่น ลูกบอล, ชุดนักกีฬา, และเส้นสนาม ได้ชัดเจนและไม่ผิดเพี้ยน โดยแบ่งระดับสีตามประเภทสนามได้ ดังนี้
-
- CRI 80-85 เหมาะกับสนามฝึกซ้อมทั่วไป ช่วยให้มองเห็นสีของวัตถุต่าง ๆ ได้ถูกต้อง และเป็นตัวเลือกที่ประหยัดสำหรับงานทั่วไป
- CRI 85-90 เหมาะกับสนามระดับมาตรฐาน ใช้สำหรับการซ้อมหรือการแข่งขันที่ต้องการการมองเห็นสีที่แม่นยำขึ้น ทั้งสีลูกบอล ชุดนักกีฬา และเส้นสนาม ทำให้การตัดสินใจของผู้เล่นและผู้ตัดสินแม่นยำกว่าเดิม
- CRI ≥ 90 เหมาะกับสนามแข่งขันระดับอาชีพและสนามที่ต้องถ่ายทอดสด ให้สีคมชัดและสมจริงบนหน้าจอ รองรับการถ่ายทอดภาพแบบมืออาชีพ
4. ทนทานและกันน้ำกันฝุ่น
ไฟสนามกีฬาควรมีระดับการป้องกันน้ำและฝุ่น IP66–IP67 ที่ได้มาตรฐาน เพื่อรองรับสภาพแวดล้อมภายนอกที่ต้องเผชิญฝน ลม และความชื้นสูง
5. อายุการใช้งานยาวนาน
โคมไฟสนามกีฬาที่ใช้ไฟ LED จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าโคมไฟแบบเก่า ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและเปลี่ยนหลอดในระยะยาว
ดูตัวเลือกหลอดและโคมไฟสนาม LED เพิ่มเติม คลิก!
วิธีเลือกโคมไฟสนามกีฬาให้เหมาะสมและประหยัดพลังงานที่สุด
การติดตั้งไฟสนามกีฬาที่ดีควรผ่านการออกแบบจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการคำนวณและวางแสงให้เหมาะสมตามมาตรฐาน และประหยัดพลังงานมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาดังนี้
1. ระดับ LUX ที่เหมาะสม
ระดับ Lux หมายถึง ค่าความเข้มของแสงสว่างที่ตกกระทบพื้นผิวต่อหนึ่งตารางเมตร มีตั้งแต่ 75 Lux สำหรับสนามฝึกซ้อม ไปจนถึง 2,500 Lux สำหรับสนามกีฬาที่ใช้เพื่อถ่ายทอดสด ยิ่งค่า Lux สูง แสงยิ่งสว่างและชัดเจนมากขึ้น สนามกีฬาประเภทต่าง ๆ จึงต้องกำหนดค่า Lux แตกต่างกันตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน
สำหรับไฟสนามฟุตบอลควรมีระดับความสว่างแบ่งตามประเภทสนาม ดังต่อไปนี้
-
- สนามฝึกซ้อมหรือสนามสำหรับมือสมัครเล่น
เป็นสนามที่ไม่ได้ต้องการแสงสว่างสูงมาก ผู้เล่นเพียงต้องมองเห็นลูกบอล เส้นสนาม และตำแหน่งต่าง ๆ ได้ชัดเจน ระดับความสว่างประมาณ 200–300 Lux ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งาน
-
- สนามเพื่อการแข่งขันหรือสนามของนักกีฬากึ่งอาชีพ
เป็นสนามที่ต้องการแสงสว่างมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผู้เล่น รวมถึงช่วยให้ผู้ชมมองเห็นการแข่งขันชัดเจนขึ้น ระดับความสว่างควรอยู่ที่ 300-500 Lux
-
- สนามสำหรับการแข่งขันระดับมืออาชีพ
เป็นสนามที่ต้องการแสงสว่างที่มีคุณภาพสูงสำหรับการแข่งขันที่ไม่ได้ถ่ายทอดสด เพื่อความปลอดภัย มองเห็นผู้เล่นและลูกบอลได้ชัดเจน ระดับความสว่างควรอยู่ที่ 500-700 Lux
-
- สนามสำหรับการแข่งขันระดับมืออาชีพเพื่อการถ่ายทอดสด
เมื่อต้องถ่ายทอดสดแสงไฟในสนามจะต้องสว่างและสม่ำเสมอทั่วทั้งสนาม เพื่อให้กล้องจับภาพการแข่งขันในความละเอียดสูงได้ (HD / FHD / 4K) รวมถึงให้ผู้ชมที่บ้านเห็นการแข่งขันอย่างชัดเจน ระดับความสว่างควรอยู่ที่ 1,000 – 1,500 Lux
-
- สนามสำหรับการแข่งขันระดับนานาชาติเพื่อการถ่ายทอดสดความละเอียดสูง
เป็นสนามที่ต้องการแสงสว่างสูงมากเป็นพิเศษ รองรับผู้ชมจำนวนมาก และการถ่ายทอดสดระดับมาตรฐานสากล เช่น FIFA หรือ AFC ระดับความสว่างควรอยู่ที่ 2,000 – 2,500 Lux ขึ้นไป
ปัจจุบันสนามกอล์ฟหลายแห่งเริ่มให้ความสำคัญกับระบบไฟส่องสว่างมากขึ้น เนื่องจากจำนวนผู้เล่นที่นิยมออกรอบและฝึกซ้อมในช่วงเย็นและกลางคืนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไฟในสนามกอล์ฟจึงต้องมีแสงสว่างที่เพียงพอเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้เล่น นอกจากนี้ยังช่วยให้สนามเปิดให้บริการได้ในเวลากลางคืน สร้างรายได้เพิ่มขึ้นในแต่ละวันของผู้ประกอบการ
ไฟในสนามกอล์ฟแต่ละส่วนประกอบของสนามมีค่า LUX แตกต่างกันไป ดังนี้
-
- ส่วนแฟร์เวย์และทีบ็อกซ์ ต้องการแสงสว่างปานกลาง ควรมีระดับความสว่าง 50–100 Lux
- สนามไดร์ฟกอล์ฟ ต้องการลำแสงที่เข้มและความสว่างในระยะไกล เพื่อให้ผู้เล่นมองเห็นลูกได้ชัดเจน ควรมีระดับความสว่าง 300–500 Lux
2. เลือกวัตต์ให้เหมาะกับขนาดสนาม
กำลังไฟของหลอดไฟ LED สำหรับสนามกีฬาต้องสัมพันธ์กับระดับแสงสว่างและความสูงของเสาไฟ ดังนี้
-
- เสาไฟสูง 3-8 เมตร เหมาะกับสนามขนาดเล็ก ใช้กำลังไฟ 100-200 วัตต์
- เสาไฟสูง 8-12 เมตร เหมาะกับสนามมาตรฐาน ใช้กำลังไฟ 200-400 วัตต์
- เสาไฟสูง 12-15 เมตร เหมาะกับสนามขนาดใหญ่หรือสนามกลางแจ้ง ใช้กำลังไฟ 400-500 วัตต์ ขึ้นไป
3. เลือกระยะเสาและจำนวนเสาให้ถูกต้อง
นอกจากความสูงของเสาไฟแล้ว ตำแหน่งติดตั้งเสาไฟต้องอยู่บริเวณนอกสนามแข่งขันเสมอ เพื่อไม่บดบังการมองของผู้ชม และต้องคำนึงถึงความสูงในการกระจายแสงให้ทั่วถึง การเลือกระยะห่างและจำนวนเสาไฟจึงต้องวางแผนให้เหมาะกับประเภทและขนาดของสนาม เพื่อควบคุมมุมตกกระทบของแสงและลดเงาจุดบอดได้
4. เลือกมุมกระจายแสงให้ตรงจุด
มุมส่องแสงมีผลโดยตรงต่อการกระจายแสงบนพื้นสนาม การเลือกมุมที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้มีจุดมืด เงารบกวนสายตา หรือจุดที่สว่างเกินไปส่งผลต่อการเล่นของนักกีฬา ดังนั้นควรเลือกมุมกระจายแสงให้เหมาะสมกับระยะห่างจากจุดติดตั้งไปยังพื้นที่ที่ต้องการส่องสว่าง ดังนี้
-
- มุมแสงแคบ (60-90 องศา) เหมาะกับการส่องแสงไปยังพื้นที่เฉพาะจุด ควรใช้กับสนามที่มีเพดานสูง12-15 เมตร
- มุมแสงกว้าง (90-120 องศา) เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการการกระจายแสงให้ครอบคลุมเป็นบริเวณกว้าง เช่น สนามกีฬาในร่มที่มีเพดานสูง 8–12 เมตร หรือสนามและลานกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องการแสงสว่างสม่ำเสมอทั่วพื้นที่ โดยไม่เน้นส่องเฉพาะจุด
ทั้งนี้ การเลือกมุมกระจายแสงควรพิจารณาร่วมกับค่าวัตต์และค่าลูเมนของโคมไฟตามการออกแบบการใช้งานด้วย เพราะแม้เลือกมุมแสงได้เหมาะสม แต่หากกำลังวัตต์หรือความสว่างไม่เพียงพอ ก็อาจทำให้แสงสว่างไม่กระจายทั่วทั้งพื้นที่
5. เลือกโคมไฟ LED คุณภาพสูง
ปัจจุบันนี้ไฟ LED เป็นตัวเลือกที่นิยมใช้ในสนามกีฬา โดยโคมไฟ LED ที่ได้มาตรฐาน ควรให้แสงสว่างสม่ำเสมอเป็นธรรมชาติ เปิด-ปิดทันทีโดยไม่กะพริบ มีค่า CRI สูง ใช้พลังงานน้อยแต่ให้ความสว่างมาก และมีระบบป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร
ประเภทโคมไฟสนามกีฬา และวิธีเลือกใช้ให้เหมาะกับแต่ละสนาม
-
- โคมไฟสาดแสง (LED Floodlight) เป็นโคมไฟสนามที่กระจายแสงได้กว้าง ให้แสงสว่างสม่ำเสมอ เหมาะสำหรับสนามขนาดใหญ่ เช่น สนามฟุตบอล สนามกีฬาอเนกประสงค์ หรือลานกลางแจ้งต่างๆ ควรติดตั้งบนเสาที่มีความสูงประมาณ 6–15 เมตร เพื่อการกระจายแสงที่เหมาะสม
- โคมไฟสปอร์ตไลท์ (LED Spotlight) เป็นโคมไฟที่เน้นให้ความสว่างเฉพาะจุดให้ลำแสงพุ่งตรงและคมชัด เหมาะสำหรับสนามที่มีพื้นที่จำกัด เช่น สนามเทนนิส สนามบาสเก็ตบอล สนามฟุตซอลและสนามในร่มบางประเภท
- โคมไฟไฮมาสต์ (LED High Mast Light) เป็นโคมไฟส่องสว่างครอบคลุมระยะไกล เหมาะสำหรับสนามขนาดใหญ่พิเศษ สนามมาตรฐานการแข่งขัน เช่น ใช้เป็นไฟในสนามกอล์ฟบางโซน (Fairway, Driving Range) สนามฟุตบอลของเทศบาล / อบต. สนามกีฬาแข่งขันจริง ลานอุตสาหกรรม สามารถติดบนเสาสูง 20–40 เมตรโดยใช้หลายโคมรวมบนเสาเดียวได้
- โคมไฟไฮเบย์ (Highbay Light) เป็นโคมที่ให้แสงสว่างเป็นวงกว้าง สม่ำเสมอทั่วทั้งบริเวณโดยไม่เกิดเงามืด เหมาะกับสถานที่ที่ต้องการใช้ไฟต่อเนื่อง เช่น สนามแบดมินตัน สนามวอลเลย์บอล สนามบาสเก็ตบอล โรงงาน ลานผลิต หรือคลังสินค้าที่ต้องการความสว่างสูง ต้องติดตั้งในพื้นที่ที่มีเพดานสูงตั้งแต่ 6–20 เมตร
- โคมไฟสาดแสง (LED Floodlight) เป็นโคมไฟสนามที่กระจายแสงได้กว้าง ให้แสงสว่างสม่ำเสมอ เหมาะสำหรับสนามขนาดใหญ่ เช่น สนามฟุตบอล สนามกีฬาอเนกประสงค์ หรือลานกลางแจ้งต่างๆ ควรติดตั้งบนเสาที่มีความสูงประมาณ 6–15 เมตร เพื่อการกระจายแสงที่เหมาะสม
การเลือกโคมไฟสนามที่เหมาะสมกับประเภทสนามและชนิดกีฬา โดยอ้างอิงเกณฑ์ด้านระดับความสว่าง มุมกระจายแสง และความสูงการติดตั้ง จะช่วยให้ได้แสงที่ประหยัดพลังงาน ใช้งานได้ยาวนาน อีกทั้งยังช่วยเพิ่มอรรถรสในการแข่งขัน ให้นักกีฬาเล่นได้เต็มศักยภาพ และทำให้ผู้ชมรับชมการแข่งขันได้อย่างคมชัดมากขึ้น
หากคุณคือผู้ประกอบการที่ต้องการใช้โคมไฟสนาม บริษัท วินเนอร์ ไลท์ คอเปอร์เรชั่น จำกัด มีสินค้าประเภทไฟสนาม และอื่นๆ มาพร้อมความหลากหลายของสินค้าและคุณภาพที่น่าพอใจ รอให้คุณสั่งซื้อ เราพร้อมให้บริการในราคายุติธรรม สนใจคลิกเลย!

